ข่าวดีสำหรับสาวก Apple ในไทยคือการที่ถูกขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มประเทศแรก หรือ Tier 1 สำหรับการซื้อ ‘iPhone 14’ ที่เพิ่งเปิดตัว โดยจะเปิดให้จองในวันที่ 9 กันยายน เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. และเริ่มวางจำหน่าย 16 กันยายนนี้ แต่สิ่งที่มาพร้อมกันคือ ‘ราคา’ ที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม (จากที่สูงอยู่แล้ว) ในขณะที่ ‘สหรัฐอเมริกา’ สื่อยักษ์ใหญ่ต่างตกใจที่ยักษ์ไอทีไม่ได้ขึ้นราคาสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด
หักปากกาเซียน
เรียกว่า ‘หักปากกาเซียน’ ที่เหล่านักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า Apple อาจจะขึ้นราคาสมาร์ทโฟนในกลุ่มพรีเมียมอย่าง ‘Pro’ และ ‘Pro Max’ อย่างน้อย 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,600 บาท
เพราะที่ผ่านมา Apple แสดงความตั้งใจที่จะขยับเพดานราคาสำหรับสินค้าในกลุ่มพรีเมียม ซึ่งก่อนหน้านี้ก็แสดงให้เห็นผ่านการทลายกำแพงราคา 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อไม่กี่ปีก่อนด้วย iPhone X ซึ่งราคาเปิดตัวในไทยตอนนั้นอยู่ที่ 40,500 บาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Apple เปิดตัว iPhone 13 อัดความจุสูงสุด 1TB ในโมเดล Pro เคาะราคาขายไทยเริ่ม 38,900 บาท ด้าน AirPods Pro ใหม่ยังไร้วี่แวว
- Apple เผยโฉม iPad Air และ iPhone SE พร้อม iPhone 13 สีใหม่ ในงาน Peak Performance
- ไทยขยับขึ้นเป็น Tier 1 แล้ว! Apple เปิดให้สั่งจอง ‘iPhone 14’ วันแรก 9 ก.ย. เริ่มวางจำหน่าย 16 ก.ย.
แต่แล้วการเปิดตัว ‘iPhone 14’ ก็ได้สร้างเซอร์ไพรส์ให้สื่อในสหรัฐอเมริกาด้วยการ ‘ไม่ขึ้นราคา’ โดย iPhone 14 และ 14 Plus จะเริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ และ 899 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ขณะที่ iPhone 14 Pro และ Pro Max เริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ และ 1,099 ดอลลาร์สหรัฐ
หากคำนวณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนในวันนี้ (8 กันยายน) ด้วยตัวเลข 36.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะพบว่าราคา iPhone 14 ในสหรัฐอเมริการุ่นเริ่มต้นเมื่อตีเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ 29,000 บาท, 33,000 บาท, 36,000 บาท และ 40,000 บาท ซึ่งเป็นราคาเครื่องเปล่าที่ยังไม่รวมการจัดโปรโมชันกับโอเปอเรเตอร์
ในขณะที่ไทยนั้นกลับมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 32,900 บาท, 37,000 บาท, 41,900 บาท และ 44,900 บาท ซึ่งนี่เป็นราคาที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ iPhone 13 ที่มี 4 รุ่นเหมือนกัน โดยมีราคาอยู่ที่ 25,900 บาท, 29,900 บาท, 38,900 บาท และ 42,900 บาท
ราคาไทยเพิ่มพิษจาก ‘บาทอ่อน’
แปลว่าราคาไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2,000 บาทด้วยกัน โดยรุ่นธรรมดาได้เพิ่มขึ้น 2,100 บาท, 3,000 บาท ในรุ่น Pro และ 2,000 บาท ในรุ่น Pro Max ส่วนรุ่น Mini ในครั้งนี้ได้ถูกตัดออกไปและแทนที่ด้วยรุ่น Plus
การไม่ขึ้นราคาในสหรัฐอเมริกาทำให้นักวิเคราะห์มองว่านี่เป็น ‘ทิศทางที่ถูกต้อง’ เพราะในขณะที่ผู้บริโภคกำลังกังวลกับภาวะเศรษฐกิจที่อาจถดถอย การประหยัดเงินในกระเป๋าจึงเป็นสิ่งที่ใครหลายคนทำ ดังนั้นการเพิ่มราคาก็อาจจะแลกมาด้วยยอดขายที่น้อยลง
Apple จึงยอมกัดฟันขายใน ‘ราคาเดิม’ ด้วยหวังจะกระตุ้นให้ลูกค้าชาวอเมริกันยอมควักเงินออกจากกระเป๋าเพื่อเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ท่ามกลางแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิตและส่วนประกอบ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น
Apple อาจมองแล้วว่าครั้งนี้คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง เพราะยังสามารถไปเพิ่มราคาขายในประเทศอื่นๆ ในจังหวะที่เงินดอลลาร์กำลัง ‘แข็งค่า’ ซึ่งจะทำให้ Apple ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยนี่ยังเป็นเพียงการคาดเดา ส่วนเหตุผลที่แท้จริงคงมีแต่ Apple ที่รู้
ขณะที่นักวิเคราะห์ไทยมองสาเหตุราคาขาย ‘iPhone 14’ ในประเทศไทยแพงขึ้นแม้ Apple เคาะราคาเท่าเดิม จากพิษเงินบาทที่อ่อนลงบวกกับกลยุทธ์การตลาด โดยเผยราคาในไทยแพงกว่าญี่ปุ่นแม้เงินเยนอ่อนค่ากว่ามาก
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด มองว่ามีปัจจัยมาจากความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินบาท และลักษณะการขายในประเทศไทยที่มักจะพ่วงโปรโมชันกับบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ต่างๆ
“สาเหตุที่ราคาขายในประเทศแพงขึ้นแม้ว่าราคาในสหรัฐฯ จะเท่าเดิม ประการแรกเป็นเรื่องของค่าเงิน ประการที่ 2 น่าจะเป็นเรื่องการเผื่อราคาในกรณีที่ค่าเงินอาจอ่อนลงไปอีก ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถขยับราคาขึ้นได้แล้ว ประการที่ 3 เป็นเรื่องลักษณะ (Character) ของการขายในประเทศไทย หลักๆ น่าจะเป็นการขายพ่วงโปรโมชันกับบริษัทผู้ให้บริการเครือข่าย (Operators) ดังนั้นราคาของ Apple ตรงๆ เลยจึงอาจไม่ได้มีผลมาก” ดร.จิติพลกล่าว
ราคา iPhone 14 Pro ในไทยแพงกว่าญี่ปุ่น แม้เงินเยนอ่อนค่าหนักกว่า
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Apple ประเทศญี่ปุ่น (https://www.apple.com/jp/shop/buy-iphone/iphone-14-pro) ระบุราคา iPhone 14 รุ่นต่างๆ ไว้ดังนี้ iPhone 14 เริ่มต้นที่ 119,800 เยน, iPhone 14 Plus เริ่มต้นที่ 134,800 เยน, iPhone 14 Pro เริ่มต้นที่ 149,800 เยน และ iPhone 14 Pro Max เริ่มต้นที่ 164,800 เยน
เมื่อเปรียบเทียบราคา iPhone 14 Pro ในญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มต้นที่ 149,800 เยน คิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 1,040 ดอลลาร์สหรัฐ (คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดที่ 143.83 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ) กับราคา iPhone 14 Pro ในไทย ซึ่งเริ่มต้นที่ 41,900 บาท คิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 1,150 ดอลลาร์สหรัฐ (คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดที่ 36.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)
หมายความว่าราคา iPhone 14 Pro ในไทยยังแพงกว่าญี่ปุ่นแม้ว่าเงินเยนอ่อนค่าลงประมาณ 33% จากระดับ 108 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายน 2021 มาอยู่ที่ 144 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ขณะที่เงินบาทไทยอ่อนค่าประมาณ 11.5% จากระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายนปีก่อน
โอกาสทำกำไรจาก Apple Watch
ในตลาดบ้านเกิด Apple ได้แซง Android ขึ้นมากินส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนที่มากกว่าแล้ว ซึ่งนี่จะเป็นสะพานที่ทำให้ผู้ผลิต iPhone มีโอกาสเติบโตในการกระจายรายได้ไปยังอุปกรณ์เสริมและบริการสมัครสมาชิกมากขึ้น
แม้ Apple จะมีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกที่น้อยกว่ามาก ตามข้อมูลของ Canalys ยักษ์ไอทีได้จัดส่งสมาร์ทโฟน 18% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2022 กระนั้น Apple ก็ได้เป็นเจ้าตลาดในสินค้าที่ทำกำไรสูงอย่างกลุ่มพรีเมียม ซึ่ง Apple ครองส่วนแบ่งมากกว่า 2 ใน 3 ของสมาร์ทโฟนที่มีราคาสูงกว่า 600 ดอลลาร์สหรัฐ
Apple ยังมีโอกาสทำกำไรจากสมาร์ทวอทช์ที่กินส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 30% ในปีนี้ โดยหากเทียบกับคู่แข่งอย่าง Samsung ตัว Apple Watch ยังมีส่วนแบ่งที่มากกว่า 3 เท่า ในขณะที่ค่ายเกาหลีใต้มีส่วนแบ่งน้อยกว่า 10% ตามการวิจัยของ CounterPoint Research
Apple Watch Series 8 มีราคาเริ่มต้นที่ 399 ดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า ส่วนราคาไทยเริ่มต้น 15,900 บาท สำหรับรุ่น GPS และเริ่มต้น 19,900 บาท สำหรับรุ่น GPS + Cellular ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 2,000 บาท เมื่อเทียบกับ Series 7 ที่มีราคา 13,900 บาท สำหรับรุ่น GPS และเริ่มต้น 17,500 บาท สำหรับรุ่น GPS + Cellular
ด้าน Apple Watch SE ได้อัปเดตให้เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 20% มีราคาเริ่มต้น 9,900 บาท แพงขึ้นราว 500 บาท เมื่อเทียบกับ 9,400 บาท ที่เปิดตัวในปี 2020 ส่วนรุ่น GPS + Cellular ที่มีราคาเริ่มต้น 10,900 บาท ขยับขึ้น 1,000 บาท เป็น 11,900 บาท นอกจากนี้ Apple ได้มีการเปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่อย่าง Ultra สำหรับสายกิจกรรมเอ็กซ์ตรีม โดยเคาะราคาเริ่มต้น 31,900 บาท
ยังไม่หมดเท่านั้น Apple ได้อวด AirPods Pro 2 ด้วยราคา 8,990 บาท ซึ่งน่าแปลกใจว่านี่เป็นราคาที่ลดลงเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 1 ในช่วงเปิดตัวที่มีราคา 9,490 บาท (ก่อนจะปรับราคาลงเหลือ 8,992 บาท)
Financial Times รายงานคำพูด ‘ทิม คุก’ แม่ทัพของ Apple ที่กล่าวในงานครั้งนี้ว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้แสดงให้เห็นถึง ‘เส้นทางที่เป็นเอกลักษณ์และทรงพลัง’ ของสินค้าในเครือ Apple
ความคิดเห็นของคุกมีขึ้นในขณะที่ Apple พยายามที่จะเพิ่มยอดขายจากอุปกรณ์เสริมและบริการต่างๆ ให้มากขึ้น ซึ่งยักษ์ไอทีได้กำไรมากกว่า 70%
อ้างอิง: